นิตตะ โยชิซาดะ (
ญี่ปุ่น: 新田 義貞
โรมาจิ: Nitta Yoshisada
ค.ศ. 1300 ถึง
ค.ศ. 1338) ซามูไรซึ่งมีช่วงชีวิตอยู่ในปลาย
ยุคคามากูระและต้น
ยุคมูโรมาจิ เป็นผู้ล้มล้าง
รัฐบาลโชกุนคามากูระนิตตะ โยชิซาดะ เป็นโกเกนิง (
ญี่ปุ่น: 御家人
โรมาจิ: Gokenin ) หรือซามูไรผู้ปกครองผืนดินอยู่ที่เมืองนิตตะ (ปัจจุบันอยู่ที่เมือง
โอตะ จังหวัดกุมมะ) ในแคว้นโคซูเกะ (
ญี่ปุ่น: 上野
โรมาจิ: Kōzuke) ตระกูลนิตตะสืบเชื้อสายมาจาก
ตระกูลเซวะเง็งจิ (
ญี่ปุ่น: 清和源氏
โรมาจิ: Seiwa Genji ) เฉกเช่นเดียวกับ
ตระกูลอาชิกางะ ใน
ค.ศ. 1333 จักรพรรดิโกะ-ไดโงะ ทรงประกาศเชื้อเชิญให้บรรดาซามูไรทั้งหลายที่ไม่พอใจการปกครองของรัฐบาลโชกุนเมืองคามากูระเข้าร่วมกับกองกำลังของพระองค์ในการล้มล้างรัฐบาลโชกุนฯ เรียกว่า สงครามปีเก็งโก (
ญี่ปุ่น: 元弘の乱
โรมาจิ: Genkō no ran) ในขณะที่
อาชิกางะ ทากาอูจิ (
ญี่ปุ่น: 足利 尊氏
โรมาจิ: Ashikaga Takauji ) ยึดเมือง
เกียวโตถวายแด่พระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะนั้น นิตตะ โยชิซาดะ ยกทัพจากแคว้นโคซูเกะทางไปทางใต้เพื่อเข้ายึดเมือง
คามากูระ หลังจากที่มีชัยชนะเหนือทัพของรัฐบาลโชกุนในยุทธการที่บูไบงาวาระ (
ญี่ปุ่น: 分倍河原
โรมาจิ: Bubaigawara เมือง
ฟูจูใน
โตเกียวปัจจุบัน) นิตตะ โยชิซาดะจึงยกทัพเข้าประชิดเมืองคามากูระ แต่ทว่าชัยภูมิของเมืองคามากูระมีภูเขาล้อมรอบสามด้าน การโจมตีเมืองคามากูระนั้นต้องผ่านทางทะเลผ่านแหลมอินามูรางาซากิ (
ญี่ปุ่น: 稲村ケ崎
โรมาจิ: Inamuragasaki) นิตตะ โยชิซาดะ จึงทำพิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าแห่งทะเล โดยการโยนดาบลงไปในทะเล หลังจากเสร็จสิ้นพิธีคลื่นทะเลกลับเปลี่ยนทิศไปในทางที่ส่งเสริมทัพของโยชิซาดะ โยชิซาดะจึงสามารถยึดเมืองคามากูระได้ ผู้สำเร็จราชการคนสุดท้ายคือ โฮโจ ทากาโตกิ (
ญี่ปุ่น: 北条高時
โรมาจิ: Hōjō Takatoki) ทำการเซ็ปปูกุเสียชีวิตไปพร้อมกับขุนนางซามูไรทั้งหลายในรัฐบาลโชกุนคามากูระหลังจากการล่มสลายของรัฐบาลคามากูระ จักรพรรดิโกะ-ไดโงะทรงก่อตั้งการปกครองขึ้นมาใหม่โดยมีอำนาจและศูนย์กลางอยู่ที่ราชสำนักเมืองเกียวโต ดังที่เคยเป็นมาใน
ยุคเฮอัง และลดอำนาจของชนชั้นซามูไร เรียกว่า การฟื้นฟูปีเค็มมุ (Kemmu Restoration) สร้างความไม่พอใจให้แก่ชนชั้นซามูไรโดยทั่วไป ใน
ค.ศ. 1335 อาชิกางะ ทากาอูจิ แยกตนออกไปเพื่อก่อตั้งรัฐบาลโชกุนขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่นิตตะ โยชิซาดะ ยังคงจงรักภักดีต่อพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ โดยที่นิตตะ โยชิซาดะ เป็นคู่แข่งคนสำคัญของอาชิกางะ ทากาอูจิ นิตตะ โยชิซาดะ ยกทัพไปปราบอาชิกางะ ทากาอูจิ ที่เมืองคามากูระแต่พ่ายแพ้ ทำให้อาชิกางะ ทากาอูจิ สามารถยกทัพเข้าประชิดเมืองเกียวโตได้
คูซูโนกิ มาซาชิเงะ (
ญี่ปุ่น: 楠木 正成
โรมาจิ: Kusunoki Masashige) ป้องกันเมืองเกียวโตได้สำเร็จทำให้ทากาอูจิต้องถอยร่นไป ใน
ค.ศ. 1336 อาชิกางะ ทากาอูจิ ยกทัพมาอีกครั้งเป็นทัพขนาดใหญ่ทั้งทางบกและทางทะเลเข้ามายังเมืองเกียวโต คูซูโนกิ มาซาชิเงะ เสนอว่าควรจะให้จักรพรรดิโกะ-ไดโงะเสด็จออกจากนครเกียวโตไปก่อนเพื่อไปทำการตั้งรับนอกเมือง เนื่องจากทัพของอาชิกางะมีขนาดใหญ่ แต่นิตตะ โยชิซาดะ ยืนกรานที่จะตั้งรับอยู่ภายในนครหลวงเกียวโต ในยุทธการที่แม่น้ำมินาโตะ (
ญี่ปุ่น: 湊川の戦い
โรมาจิ: Minatogawa-no-tatakai) ทัพของนิตตะ โยชิซาดะ ถูกโจมตีจนถอยร่นไป ส่งผลให้ทัพของฝ่ายพระจักรพรรดิพ่ายแพ้ต่อทัพของอาชิกางะ อาชิกางะ ทากาอูจิ สามารถเข้ายึดนครเกียวโตได้ นิตตะ โยชิซาดะ จึงนำองค์จักรพรรดิโกะ-ไดโงะเสด็จหลบหนีไปยังวัดเขาฮิเอ ชานเมืองเกียวโต และเสด็จหนีต่อไปยังเมือง
โยชิโนะ (
ญี่ปุ่น: 吉野
โรมาจิ: Yoshino ปัจจุบันอยู่ใน
จังหวัดนาระ) เพื่อก่อตั้งราชสำนักขึ้นมาใหม่ที่นั่น กลายเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายใต้ ในขณะที่อาชิกางะ ทากาอูจิ ก็ตั้งองค์จักรพรรดิขึ้นใหม่อีกองค์ที่เมืองเกียวโต ซึ่งต่อมากลายเป็นพระราชวงศ์ฝ่ายเหนือ เป็นจุดเริ่มต้นของ ยุคราชวงศ์เหนือใต้ (
ญี่ปุ่น: 南北朝
โรมาจิ: Nanboku-chō) ใน
ค.ศ. 1337 จักรพรรดิโกะ-ไดโงะมีพระราชโองการให้นิตตะ โยชิซาดะ นำพระโอรสสองพระองค์คือ เจ้าชายทากานางะ (
ญี่ปุ่น: 尊良親王
โรมาจิ: Takanaga shinnō) และเจ้าชายสึเนนางะ (
ญี่ปุ่น: 恒良親王
โรมาจิ: Tsunenaga shinnō) เสด็จไปยังแคว้นเอจิเซ็ง (
ญี่ปุ่น: 越前
โรมาจิ: Echizen
จังหวัดฟูกูอิในปัจจุบัน) ทางตะวันออกอันห่างไกลเพื่อสร้างกองกำลังขึ้นมาเพื่อยึดอำนาจคืนจาก
รัฐบาลโชกุนอาชิกางะ แต่ทว่าทัพของรัฐบาลโชกุนใหม่ยกทัพติดตามมา ทำให้นิตตะ โยชิซาดะ และเจ้าชายทั้งสองถูกทัพของรัฐบาลโชกุนฯ ห้อมล้อมอยู่ที่ป้อมคาเนงาซากิ (
ญี่ปุ่น: 金ヶ崎
โรมาจิ: Kanegasaki) ต่อมาป้อมคาเนงาซากิแตกทัพของรัฐบาลโชกุนฯ สามารถเข้ายึดป้อมได้ นิตตะ โยชิอากิ (
ญี่ปุ่น: 新田義顕
โรมาจิ: Nitta Yoshiaki) บุตรชายคนโตของโยชิซาดะ ทำการเซ็ปปูกุเสียชีวิต เจ้าชายทั้งสองพระองค์ถูกปลงพระชนม์ ส่วนนิตตะ โยชิซาดะนั้น หลบหนีออกไปได้ ใน
ค.ศ. 1338 โยชิซาดะรวบรวมกำลังเข้าโจมตีป้อมคูโรมารุ (
ญี่ปุ่น: 黒丸
โรมาจิ: Kuromaru) ซึ่งเป็นป้อมของรัฐบาลโชกุนฯ ในขณะการสู้รบที่ป้อมคูโรมารุ ม้าของโยชิซาดะต้องธนูและล้มทับร่างของโยชิซาดะทำให้ไม่สามารถขยับได้ เมื่อเห็นว่าตนเองกำลังพ่ายแพ้ ตามวรรณกรรมเรื่อง "ไทเฮกิ" (
ญี่ปุ่น: 太平記
โรมาจิ: Taiheiki) นิตตะ โยชิซาดะ ได้ใช้ดาบตัดศีรษะของตนเอง จนถึงแก่ความตายในที่สุดหลังจากที่นิตตะ โยชิซาดะ เสียชีวิตไปแล้ว บุตรหลานที่ยังคงมีชีวิตรอดของโยชิซาดะ เปลี่ยนชื่อสกุลจากนิตตะเป็นอิวามัตสึ (
ญี่ปุ่น: 岩松
โรมาจิ: Iwamatsu) และกลับไปครองเมืองนิตตะที่แคว้นโคซูเกะตามเดิมไปตลอดจนถึง
ยุคเอโดะ